วัดพระธรรมกายเป็นเถรวาทหรือมหายานกันแน่!!!
คำถาม :
วัดพระธรรมกายเป็นเถรวาทหรือมหายานกันแน่!!! ทำไมไม่แยกนิกายไปเลย!!! หรือทำมูลนิธินอกเหนือศาสนาพุทธไปเลย!!!
คำตอบ : ขอยืนยันว่า...“วัดพระธรรมกายเป็นพระพุทธศาสนา
เถรวาทอย่างแน่นอน” แต่ก่อนที่จะอธิบายขยายความเกี่ยวกับประเด็นนี้ ควรมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าพระพุทธศาสนาในยุคปัจจุบัน
ถูกแบ่งออกเป็นนิกายหลัก 2 นิกายคือ “เถรวาท” และ “มหายาน”
เถรวาทอย่างแน่นอน” แต่ก่อนที่จะอธิบายขยายความเกี่ยวกับประเด็นนี้ ควรมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าพระพุทธศาสนาในยุคปัจจุบัน
ถูกแบ่งออกเป็นนิกายหลัก 2 นิกายคือ “เถรวาท” และ “มหายาน”
พระพุทธศาสนานิกาย “เถรวาท” ... จัดว่าเป็นนิกายดั้งเดิมของพระพุทธศาสนา ที่ถือปฏิบัติตามพุทธบัญญัติมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่
“พระมหากัสสปะ”
เป็นประธานในการทำ “ปฐมสังคายนา” เป็น
กลุ่มที่พยายามรักษาพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด เพื่อคงความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของพระสัทธรรมโดยไม่มีการยืดหยุ่นข้อวัตรปฏิบัติ หรือปรับเปลี่ยนคำสอนให้ผิดไปจากคำสอนดั้งเดิม
กลุ่มที่พยายามรักษาพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด เพื่อคงความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของพระสัทธรรมโดยไม่มีการยืดหยุ่นข้อวัตรปฏิบัติ หรือปรับเปลี่ยนคำสอนให้ผิดไปจากคำสอนดั้งเดิม
และด้วยความเคร่งครัดในข้อวัตรปฏิบัติของนิกายเถรวาท จึงทำให้การเผยแผ่มีข้อจำกัดและกระจายออกไปได้ไม่กว้างเท่ากับมหายาน ซึ่งในยุคปัจจุบัน!!!พุทธนิกายเถรวาทจะนับถือแพร่หลายในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เช่น ประเทศไทย ลาว พม่า ศรีลังกา เป็นต้น
พระพุทธศาสนานิกาย “มหายาน”
...
เป็นนิกายที่แยกตัวออกมาในภายหลัง มีแนวคิดเรื่องการบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์
เน้นสร้างบารมีเพื่อขนสัตว์โลกไปสู่ความพ้นทุกข์ให้ได้เป็นจำนวนมาก
เป็นกลุ่มที่มีการแก้ไขข้อวัตรปฏิบัติให้ยืดหยุ่น เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเผยแผ่พระธรรมคำสอนไปในประเทศต่างๆ
ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ
และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป
นอกจากนี้ยังมีการผนึกกำลังอุบาสก
อุบาสิกา เพื่อช่วยในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น ในยุคปัจจุบัน!!!
พุทธนิกายมหายานจะนับถือแพร่หลายในประเทศทิเบต
จีน มองโกเลีย เกาหลี เวียดนาม สิกขิม และภูฏาน
เป็นต้น.
ถึงแม้พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทและมหายานจะมีแนวทางปฏิบัติและมีแนวคิดที่แตกต่างกันในหลายๆ
เรื่องตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น แต่อย่างไรก็ตาม!!! ทั้ง 2 นิกายต่างก็สอนเรื่องอริยสัจ
4 และสอนเรื่องศีล
สมาธิ ปัญญา อีกทั้งยังมีจุดหมายเดียวกัน
คือ ความหลุดพ้นจากกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งคู่
สำหรับพระพุทธศาสนาในประเทศไทยนั้น จัดเป็นพุทธนิกาย “เถรวาท”
ซึ่งแต่เดิมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว แต่ในเวลาต่อมาได้มีการแยกย่อยออกเป็น 2 ฝ่ายได้แก่... “มหานิกาย” (ซึ่งก็คือคณะสงฆ์เถรวาทดั้งเดิมที่ปักหลักเผยแผ่ในผืนแผ่นดินนี้มาอย่างยาวนาน)
และ “ธรรมยุติกนิกาย”
(ที่เพิ่งตั้งขึ้นในช่วงพ.ศ. 2376 โดย “พระวชิรญาณเถระ” หรือ “เจ้าฟ้ามงกุฎ” ซึ่งต่อมาได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 4) แต่ไม่ว่าจะอย่างไร!!!
ทั้งสองฝ่ายต่างก็อยู่ภายใต้กฏมหาเถรสมาคมเดียวกันและมีสมเด็จพระสังฆราชพระองค์เดียวกัน
ในส่วนของวัดพระธรรมกายนั้น ถือเป็นวัดใน “นิกายเถรวาท”
ที่อยู่ในสังกัด “มหานิกาย” มาตั้งแต่ต้น เพราะพระภิกษุทุกรูปในวัดล้วนผ่านการบวชโดยมีพระอุปัชฌาย์อยู่ในสังกัด
“มหานิกาย” อย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัย อีกทั้งทุกรูปยังมีข้อวัตรปฏิบัติและถือศีล 227 ข้อตรงตามแนวทางปฏิบัติของพุทธเถรวาทดั้งเดิมทุกประการ
เพราะฉะนั้น...วัดพระธรรมกายจึงไม่ใช่วัดในนิกาย
“มหายาน” อย่างที่คนบางกลุ่ม (โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีอคติกับวัดพระธรรมกาย) พยายามชี้นำให้คนในสังคมเกิดความเข้าใจผิดและเกิดความสับสน
สำหรับเหตุผลที่ทำให้คนสงสัยว่า…วัดพระธรรมกายเป็น เถรวาทหรือมหายานกันแน่นั้น น่าจะมาจากเหตุ 2 ประการดังนี้
1.เรื่องแนวคำสอน : หลายๆ คน (โดยเฉพาะที่ไม่เคยเข้าวัดพระธรรมกาย)
อาจมีความเคลือบแคลงสงสัยในเรื่องคำสอนของวัดพระธรรมกาย ที่มีบางเรื่องอาจจะดูคล้ายแนวทางของพุทธแบบ “มหายาน” โดยเฉพาะเรื่องเป้าหมายในการสร้างบารมี ที่ทางวัดอยากให้ “ทุกคนบนโลก”
เข้าถึงสันติสุขภายใน (หรือบรรลุธรรมเข้าถึงพระธรรมกาย) ซึ่งจะทำให้โลกเกิดสันติภาพที่แท้จริง
มาถึงจุดนี้!!! ขอถามหน่อยเถอะว่า... “เป้าหมายที่จะช่วยให้ทุกคนบนโลกมีศีล มีธรรม
และเข้าถึงธรรมซึ่งเป็นหนทางสู่นิพพานมันผิดตรงไหน!!! หรือมันไม่ดีอย่างไร!!!” ถึงแม้เป้าหมายของวัดพระธรรมกายจะเน้นการสร้างบารมีแบบไปเป็นทีม
(ซึ่งอาจจะดูแตกต่างจากวัดพุทธเถรวาทหลายๆ วัด) แต่หลักธรรมหรือคำสอนที่ทางวัดพระธรรมกายนำมาเผยแผ่หรือสอนให้แก่สาธุชน ก็ตรงตามหลักคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานเอาไว้ทุกประการ
2.เรื่องแนวทางในการเผยแผ่ : ถ้ามองแบบผิวเผิน!!! แนวทางในการเผยแผ่ของวัดพระธรรมกายอาจดูแตกต่างจากวัดเถรวาทหลายๆ
วัด เพราะทางวัดใช้จะแนวทางในการเผยแผ่แบบ
“เชิงรุก” ไม่ได้เป็นแบบตั้งรับอย่างเดียว (คือ...เน้นการเผยแผ่พระธรรมคำสอนออกไปสู่สังคมในวงกว้าง)
แต่ก่อนที่ใครจะกล่าวหาวัดพระธรรมกายว่าไม่ใช่พุทธเถรวาทเพราะเรื่องนี้!!! ได้โปรดกลับไปศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคพุทธกาลกันให้ดีเสียก่อน
จะได้ไม่หลงสรุปอะไรง่ายๆ
เพียงเพราะเห็นว่า...วัดพระธรรมกายมีแนวทางในการเผยแผ่พระธรรมคำสอนที่แตกต่างจากวัดเถรวาทอื่นๆในประเทศไทย
ถ้าย้อนกลับไปในยุคที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ เดิมทีนั้น!!! พระพุทธศาสนายังคงรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ไม่มีการแตกหรือแยกนิกายแบบในยุคปัจจุบัน และด้วยความที่ในยุคสมัยนั้นศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาหลักที่คนอินเดียโดยส่วนใหญ่นับถือ อีกทั้งยังมีความเชื่ออื่นๆ แพร่หลายในอินเดียอีกมากมาย
ดังนั้น...พระพุทธองค์จึงทรงมีนโยบายให้เหล่าพระอรหันตสาวก
(ซึ่งในช่วงแรกๆ จะมีกันอยู่เพียงแค่ 60 รูป) แยกย้ายกันออกไปเผยแผ่พระสัทธรรมคำสอนให้ได้มากที่สุด และก่อนที่พระพุทธองค์จะส่งพระอรหันตสาวกทั้ง 60
รูปออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา
พระพุทธองค์ก็ทรงประทานโอวาทให้แก่พระอรหันตสาวกเหล่านั้นว่า…
“ ภิกษุทั้งหลาย … พวกเธอจงจาริกไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก
เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ อย่าไปโดยทางเดียวกันสองรูป (คือจงไปคนเดียวหลายๆ ทาง อย่าไปทางเดียวหลายๆ คน) … แม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อแสดงธรรม
” (หมายเหตุ : สามารถไปตามอ่านรายละเอียดในช่วงนี้ได้จาก...พระไตรปิฎกภาษาไทย
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม 4 หน้า 40
วินัยปิฎก มหาวรรค)
จากโอวาทดังกล่าวจะเห็นได้ว่า...นี่คือนโยบายเผยแผ่แบบ
“เชิงรุก” ไม่ใช่นโยบาย
“ตั้งรับอยู่กับที่” เพราะในสภาวะที่ศาสนาพราหมณ์ฝังรากลึกในสังคมอินเดียขนาดนั้น ถ้าหากมัวแต่ตั้งรับอยู่กับที่โดยไม่ออกไปเผยแผ่อย่างจริงจัง ก็คงยากที่จะแผ่ขยายพระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกไปได้ในวงกว้าง
นอกจากพระพุทธองค์จะส่งพระอรหันตสาวกที่มีทั้งหมดออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามที่ต่างๆ
แล้ว พระพุทธองค์ยังทรงออกไปประกาศพระสัทธรรมด้วยตัวของพระองค์เองอีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่น...เสด็จเดินทางไปที่อุรุเวลาเสนานิคมเพื่อโปรดชฎิล
3
พี่น้อง ซึ่งก็คือ อุรุเวลกัสสปะ ,
นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ ซึ่งมีบริวารรวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 คน เมื่อชฎิล 3 พี่น้องพร้อมเหล่าบริวารเกิดความเลื่อมใสและขอออกบวชในพระพุทธศาสนา ก็ทำให้พระพุทธองค์ทรงมีพระสาวกเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในคราวเดียวกว่าพันองค์ จากจุดนี้!!!
ทำให้พระพุทธศาสนาขยายตัวอย่างรวดเร็วและสามารถแผ่ขยายออกไปได้อย่างกว้างไกลตั้งแต่นั้น
นอกจากนี้!!! พระพุทธองค์ยังเสด็จไปโปรดบุคคลระดับผู้นำแคว้นอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น...เสด็จไปโปรด “พระเจ้าพิมพิสาร” แห่งกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ เมื่อพระเจ้าพิมพิสารบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันและมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาแล้ว
ก็มีผลทำให้เหล่าข้าราชบริพารและประชาชนในแว่นแคว้น
หันมานับถือพระพุทธศาสนาและเข้าถึงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ง่ายยิ่งขึ้น
ซึ่งผลจากการที่พระบรมศาสดาทรงมีนโยบายเผยแผ่พระพุทธศาสนาใน
“เชิงรุก” (คือ...ทั้งที่ทรงออกไปแผยแผ่ด้วยตัวของพระองค์เอง และให้เหล่าพระสาวกแยกย้ายกันออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา)
ทำให้ในที่สุด!!! พระพุทธศาสนาก็สามารถตั้งมั่นและครองใจผู้คนทุกระดับชั้นในชมพูทวีปได้เป็นผลสำเร็จ
(กล่าวได้ว่า...มีคนทุกระดับหันมานับถือพระพุทธศาสนา ตั้งแต่บุคคลผู้ยากไร้ คนทั่วไป
ไปจนถึงระดับมหาเศรษฐี ผู้นำลัทธิ และกษัตริย์ผู้ปกครองแว่นแคว้น)
จากเรื่องราวข้างต้นคงทำให้ทุกท่านเห็นภาพการเผยแผ่
“เชิงรุก” ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางรากฐานเอาไว้ได้พอสมควร และคงจะมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับการเผยแผ่เชิงรุกของวัดพระธรรมกายว่า...
“การเผยแผ่ในลักษณะนี้ไม่ใช่วิธีการใหม่ แต่เป็นการเจริญรอยตามแนวทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระสัทธรรมในยุคพุทธกาล โดยมีการปรับรูปแบบในการเผยแผ่ (แต่ไม่ได้ปรับเปลี่ยนคำสอน)
เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพสังคมและสถานการณ์โลกในยุคปัจจุบัน (ยกตัวอย่างเช่น...มีการส่งพระไปเทศน์สอนและฝึกสมาธิถึงบ้านสาธุชนที่เข้าร่วมโครงการบ้านกัลยาณมิตรทั้งในและนอกประเทศทั่วโลก หรือมีการใช้สื่อมัลติมีเดียและใช้ช่องทางในโลกโซเชียล เพื่อช่วยในการเผยแผ่พระสัทธรรมให้กว้างไกลออกไปทั่วโลก เป็นต้น)
จากที่ได้อธิบายขยายความมาทั้งหมด ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า “แนวคำสอนและแนวทางในการเผยแผ่ที่วัดพระธรรมกายทำอยู่ในตอนนี้ เป็นพุทธเถรวาทแบบดั้งเดิมแท้ ๆ ตามที่พระพุทธองค์ทรงวางรากฐานไว้ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล”
เพราะฉะนั้น...ที่มีคนมาตั้งประเด็นว่า
“ทำไมไม่แยกนิกายไปเลย!!! หรือทำไมไม่ทำมูลนิธินอกศาสนาพุทธไปเลย” จึงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องแยก......ชัดมั้ย!!!
วัดพระธรรมกายเป็นเถรวาทหรือมหายานกันแน่!!!
Reviewed by ข่าวพิเศษ
on
20:00
Rating:
อธิบายมาตั้งเยอะแล้ว แล้วเรื่อง ธรรมยุติกนิกายทำไมไม่พูดต่อ
ตอบลบ